บทเรียนความผิดพลาดจากการลงทุน

เมื่อก่อนชอบอ่านแต่ประวัติคนที่ประสบความสำเร็จ แล้วก็วาดฝันไว้สวยหรูว่า ถ้าเราทำตามคนพวกนี้ วันนึงเราก็จะสำเร็จแบบเดียวกัน

ลืมคิดไปว่า กว่าที่คนเหล่านี้จะประสบความสำเร็จ ระหว่างทางต้องเจออะไรมาบ้าง

จนได้เจอกระทู้นึงใน ThaiVI พูดถึง “บทเรียนความผิดพลาดจากการลงทุน” ตอนแรกๆ ก็ไม่ได้สนใจ เพราะช่วงนั้น เป็นช่วงตลาดขาขึ้น จิ้มซื้อตัวไหนก็ได้กำไร

บางตัวกำไรมากกว่า 30-40% ภายในไม่กี่เดือน พลอยให้คิดไปว่า เรานี่แหละ จะประสบความสำเร็จ มีเงินเป็นล้านๆ เกษียณได้ตั้งแต่อายุยังไม่มาก ไม่จำเป็นต้องไปเรียนรู้จากใครที่ไหนแล้ว เก่งแล้ว

คิดแบบนี้ได้ไม่นาน วิกฤตก็มาเยือน เริ่มต้นด้วยวิกฤต Hamburger Crisis แล้วก็ตบด้วยวิกฤตหนี้ยุโรป

เงินที่ลงทุนไว้+กำไร หายวับไปกับตา เหลือไว้แต่ตัวเลขแดงๆ เต็มพอร์ท (ช่วงนั้นจากกำไรมากกว่า 40% กลายเป็นติดลบมากกว่า 65%)

ก็เริ่มกลับมาทบทวนตัวเอง หาหนังสือ หาอะไรมาอ่าน เพราะไม่มีเงินจะซื้อหุ้นตัวไหนเพิ่มแล้ว

แล้วก็บังเอิญกลับมาเห็นกระทู้ “บทเรียนความผิดพลาดจากการลงทุน” ใน ThaiVI ที่เคยมองข้ามไป

ช่วงนั้นไม่มีอะไรทำ เลยอ่านว่าจะอ่านผ่านๆ ซะหน่อย

พออ่านเรื่องความผิดพลาดของคนอื่นแล้ว ก็คิดในใจ เฮ้อ! ไอ้พวกแมงเม่า แม่งลงทุนแบบนี้ สมแล้วที่ขาดทุน

แต่พอมาคิดอีกที เอ… เดี๋ยวนะ… นี่มันกูเลยนี่หว่า ลงทุนได้ซื่อบื้อมาก ทั้งขายหมู ซื้อควาย, ทั้งเล่นหุ้นตามข่าว, ตามกระแส, กูทั้งนั้นเลย…

แล้วจากนั้นก็ได้ทบทวนตัวเองอย่างจริงๆ จังๆ

เริ่มต้นการลงทุนใหม่อีกครั้ง เอาบทเรียนความผิดพลาด จากทั้งของตัวเอง และของคนอื่นๆ มาคอยเตือน ไม่ให้ทำผิดพลาดซ้ำอีก

จนตอนนี้มีพอร์ทลงทุนที่สามารถสร้างกระแสเงินสด พอเลี้ยงครอบครัวได้ แบบไม่ถึงกับสบายมาก แต่ก็ไม่ลำบากเกินไป

เกริ่นมาซะยาว ขอเริ่ม “บทเรียนความผิดพลาดจากการลงทุน” ฉบับ Personal Exclusive กันเลยดีกว่า

=====================

บทเรียนความผิดพลาดจากการลงทุน

1) ทำตามคนอื่น โดยไม่ดูตาม้า ตาเรือ

ตอน เริ่มลงทุนใหม่ๆ ได้อ่านหนังสือตีแตก ของ ดร.นิเวศน์ กับหน้งสือ หุ้นห่านทองคำ ของ อ.เทพ ก็ทำตามในหนังสือ เช่น แบ่งเงินลงทุนเป็นหลายๆ ส่วน เท่าๆ กัน แล้วเอาไปลงทุนในหุ้นหลายๆ อุตสาหกรรม กระจายๆ ไป เพื่อลดความเสี่ยง

ขนาดหุ้นที่เลือก ยังเป็นหุ้นที่ถูกพูดถึงในหนังสือ ซึ่งแต่งมาแล้ว 10 กว่าปี หุ้นพวกนี้มันแทบจะยอดดอยแล้ว ก็ดันไปซื้อมาไว้ในพอร์ท

สรุป โดนไปไม่ใช่น้อย ถึงแม้จะทำถูกในบางเรื่อง เช่น การกระจายความเสี่ยงในหลายๆ อุตสาหกรรม แต่ดันไปซื้อหุ้นดอยแทบทุกตัว เลยกลายเป็นเอาเงินไปเสี่ยงในทุกอุตสาหกรรมแทน

2) หุ้น IPO สุด HOT

ตอนนั้นเนื่องจากจิ้มตัวไหนก็ได้กำไร เลยคิดเหมาเอาเองว่าหุ้นมันจะขึ้น ต้องอยู่ในความสนใจของตลาด แล้วช่วงนั้นมีหุ้นตัวนึง ในอุตสาหกรรมบันเทิง ที่คนพูดถึงกันเยอะมาก เพราะทำรายการเกมส์โชว์ได้โดนใจคนดูมากๆ สมมุติว่าชื่อหุ้น W

ตอนนั้น IPO ที่ราคาสุดแสนจะแพง แต่ก็ไม่ได้สนใจเพราะมัวแต่สนใจความร้อนแรงของตลาด

ช่วงแรกๆ ตลาดยังดี หุ้นตัวนี้ก็ขึ้นมานิดหน่อย แต่พอตลาด Crash เท่านั้นแหละ หุ้นตัวนี้ ลงมากกว่าตลาดแบบไม่น่าเชื่อ (จำได้คร่าวๆ ว่าจาก 19.80 บาท ลงไปเหลือไม่ถึง 5 บาท)

3) ซื้อหุ้นโดยมองที่ราคา แทนที่จะดูมูลค่ากิจการ (Market Cap)

อันนี้เป็นหุ้นต่ำบาท ที่ตอนนั้นคิดว่าราคาถูกมาก ซื้อเก็บไว้เป็นแสนๆ หุ้น ก็ไม่เสียหาย เพราะถูกสุดๆ แล้ว โดยไม่ได้ดูว่าหุ้นตัวนี้ มี Market Cap เป็นพันๆ ล้าน ซึ่งเกินความจริงไปมาก เพราะตัวธุรกิจจริงๆ แทบไม่มีอะไรเลย มีแค่ห้องเช่า ในอาคารสำนักงาน กับพนักงานไม่กี่สิบคน แล้วธุรกิจก็ลุ่มๆ ดอนๆ กำไรบ้าง ขาดทุนบ้าง

สุดท้าย หุ้นต่ำบาท ก็กลายเป็นหุ้นเศษสตางค์ ดาบแรกไม่พอ เจ้าของฟันซ้ำด้วยการแตกพาร์+เพิ่มทุน ในราคาที่ปฏิเสธไม่ได้ เลยโดนไป 2 เด้ง

4) ขายหมู ซื้อควาย

อันนี้คือหุ้นบริษัท W ตัวเดิม

ตอนที่ซื้อหุ้น IPO สุด HOT ตัวนี้มา ก็คิดว่ามันน่าจะโตไปได้เรื่อยๆ เพราะรายการดีๆ เต็มไปหมด เปิดทีวีไปช่องไหน ก็เห็นแต่รายการของบริษัท W โดยไม่ได้คิดว่า ณ จุดนั้น บริษัทนี้แทบจะ Peak สุดๆ แล้ว ถึงได้ IPO เข้าตลาด

พอตลาดฯ เจอวิกฤต หุ้น W ก็ตกแรงกว่าตลาด แต่ด้วยความที่มองหุ้น W ดีเกินความเป็นจริงไปมาก เห็นมันราคาถูกลงเรื่อยๆ เลยตัดสินใจขายหุ้นทุกตัวในพอร์ท มาซื้อหุ้น W เพิ่ม

หุ้นที่ขายไปก็เช่น

หุ้นน้ำอัดลม S ที่ตอนนี้ ถ้าถือไว้ จะกลายเป็นหุ้น 8 เด้ง

หุ้นขนมปัง P ที่ตอนนี้ ถ้าถือไว้ จะกลายเป็นหุ้น 9 เด้ง

หุ้นเฟอร์นิเจอร์ M ที่ตอนนี้ ถ้าถือไว้ จะกลายเป็นหุ้น 2.5 เด้ง

วิธีการขายหมู ซื้อควาย ก็คือ ขายหุ้นตัวอื่นๆ ในพอร์ท ทุกราคา เพื่อมาช้อนซื้อหุ้น W ไล่ซื้อตั้งแต่ 19.80 บาท 18 บาท 17 บาท 15 บาท ไปจน 12 บาท หุ้นดีๆ ถูกขายจนหมดพอร์ท เหลือแต่หุ้น W ตัวเดียว แล้วหุ้น W ก็ลงไปกองที่ 4 บาทกว่าๆ (ขาดทุนไปกว่า 65%)

แล้วพอวิกฤตผ่านไป หุ้นตัวอื่นๆ ที่ขายไป ก็กลับมาทำ new high ได้เกือบทุกตัว เพราะเป็นบริษัทที่แข็งแกร่ง เป็นผู้นำเบอร์ 1 เบอร์ 2 ในตลาดแทบทั้งหมด

ส่วนหุ้น W ไม่ไปไหน วิ่งอยู่ 4-6 บาท ไปอีกเกือบ 2 ปี

5) เกี่ยงราคา

ข้อนี้ไม่ได้ทำให้ขาดทุนอะไร แต่ส่งผลต่อผลตอบแทนระยะยาวของพอร์ทอย่างมาก เลยขอพูดถึงซะหน่อย

ตอนนั้นเจอหุ้นตัวนึง ขายไก่ สมมุติชื่อหุ้น C หุ้นตัวนี้เติบโตมาโดยตลอด ผลประกอบการดีมาก มีแผนการขยายงานชัดเจน แถมมีช่องทางจำหน่ายที่เหนือกว่าคู่แข่ง เลยทำให้บริษัท C มีทั้งธุรกิจต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ซึ่งเกื้อหนุนกันอย่างมาก

บริษัท C โชคร้ายดันมาเจอหวัดนกเล่นงาน คนไทยแทบจะเลิกกินไก่ทั้งประเทศ ยอดขายทำท่าจะตกหนัก ราคาหุ้น C ก็เลยย่ำอยู่กับที่ ไม่ไปไหน

ตอนนั้นหุ้นตัวนี้ซื้อขายกันที่ราคา 4 บาทกว่าๆ Market Cap ราวๆ 2 หมื่นกว่าล้าน ก็คิดในใจว่ายังไม่น่าซื้อ เพราะเคยเห็นหุ้นตัวนี้ ที่ราคา 3 บาทต้นๆ ยิ่งตอนนี้มีเรื่องหวัดนกด้วย เดี๋ยวรอต่ำ 3 บาท ค่อยสอย

พอหวัดนกจบ คนหันกลับมากินเป็ด กินไก่กันปกติ หุ้นตัวนี้ก็วิ่งหน้าตั้งไป 6 บาทกว่าๆ (ขึ้นไปเกือบ 50%) ตอนนั้นคิดในใจว่า ถ้ามันลงมา 6 บาทถ้วน ก็จะทะยอยเก็บละ

แล้วมันก็วิ่งรวดเดียวไป 10 กว่าบาท แล้วก็วิ่งไม่หยุด ยาวไปจน 20 กว่าบาท

ตอนนี้หุ้น C ตัวนี้ ซื้อขายกันที่ 30 กว่าบาท มี Market Cap มากกว่า 2 แสนล้านบาท กลายเป็นหุ้น 11 เด้ง ภายในไม่กี่ปี

บริษัท C เป็นหุ้นเติบโต ที่ได้แต่มองตาปริบๆ เพราะมัวแต่เกี่ยงราคา (ทั้งที่ติดตามผลการดำเนินงานมาตลอดเกือบ 7-8 ปี)

6) แห่ซื้อตามเซียน

ลงทุนช่วงแรกๆ พอร์ทได้ผลตอบแทนประมาณ 8-10% ต่อปี แต่พอได้เห็นผลตอบแทนคนอื่น (ที่หลายคนยกย่องว่าเป็นเซียน) สามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงกว่า 50-100% ต่อปี ก็รู้สึกว่ามันน่าจะง่ายกว่า ถ้าเราลอกการบ้านเซียน แล้วก็นั่งนับวันรองบออก ตามที่เซียนคาดการณ์ไว้

ว่าแล้วก็ขายหุ้นในพอร์ทออก แล้วก็เริ่มซื้อตามเซียน หุ้นที่ถูกเซียนพูดถึง มักจะเป็นหุ้นในกระแส มี volume ค่อนข้างมาก (อย่างผิดปกติ)

ช่วงนั้นหุ้นเซียนบอก ขึ้นแทบจะยกแผง บางตัวขึ้นไปมากกว่า 20-30% ภายในไม่กี่วันก็มี ส่วนหนึ่งเพราะกระแสเซียนฟีเว่อร์ นักลงทุนน้อย ใหญ่ แห่เล่นตามกันเป็นแถว

แต่แล้วคราวซวยก็มาเยือน เพราะงบออกมา ไม่เป็นไปตามคาด หุ้นตกหนักแบบไม่มีอะไรรองรับ เพราะพื้นฐานธุรกิจจริงๆ ไม่ได้ดีเลิศอย่างที่คิด

ส่วนเซียนๆ ทั้งหลาย ที่เคยเชียร์หุ้นพวกนี้ ก็เริ่มเงียบหายไป คาดว่าจะขายหุ้นทิ้ง ทำกำไรหนีไปก่อน โดยไม่ได้บอกกล่าวเหล่าสาวก เพราะต้องการขายหุ้นให้ได้ราคาดีๆ (ไม่มีใครแย่งขาย)

เหลือไว้แต่ร่องรอยบาดแผล ให้นักลงทุนหน้าใหม่ที่ชอบแห่เล่นตามเซียน เก็บเอาไว้เป็นบทเรียน

=====================

จริงๆ ข้อผิดพลาด ยังมีอีกเยอะ แต่พอก่อน เพราะแค่นี้ก็รู้สึกว่าจะเม่าไปไหนแล้ว

ใครสนใจคุยเรื่องหุ้น ทั้งความผิดพลาด/ความสำเร็จ ยินดีนะครับ ถือว่าแชร์ประสบการณ์ จะได้เรียนรู้ไปด้วยกัน

สุดท้าย หวังว่าบทความนี้ จะช่วยให้นักลงทุนท่านอื่นๆ ไม่ให้ลงทุนผิดพลาด เหมือนที่เคยเจอมากับตัวเอง หรือถ้าจะผิดพลาด ก็ขอให้น้อยที่สุด โดยสามารถ Fast Track ข้ามข้อผิดพลาดเหล่านี้ แล้วเข้าสู่ถนนนักลงทุนอย่างเต็มตัว โดยได้รับบาดเจ็บน้อยที่สุดครับ