ลงทุนแบบทะยอยสะสม vs ลงทุนแบบเงินก้อน

หลังจากลงทุนให้เพื่อนครบ 3 ปี ไปเมื่อไม่นานนี้ ได้มีโอกาสย้อนดูพฤติกรรมการลงทุนที่ผ่านๆ มา ผ่านทั้งพอร์ทตัวเอง และพอร์ทของเพื่อน ทำให้เห็นถึงความแตกต่าง และผลลัพธ์ที่ได้ ก็ต่างกันด้วย

พอร์ท A เริ่มต้นด้วยเงิน 3.8 ล้านบาท ไม่มีการนำเงินมาเติมใดๆ ลงทุนเป็นเวลา 5 ปี

พอร์ท B เริ่มต้นด้วยเงิน 2 แสนบาท เติมเงินสม่ำเสมอทุกเดือน เดือนละ 2-5 หมื่นบาท (บางครั้งเติมหลักแสน) ลงทุนเป็นเวลา 3 ปี

ผลลัพธ์การลงทุน ทุกคนน่าจะพอเดาได้ คือ พอร์ทที่ลงทุนสม่ำเสมอ ทำผลตอบแทนได้ดีกว่า แต่ดีกว่าขนาดไหน ลองมาดูกัน

พอร์ท A มูลค่า ณ ปัจจุบัน ราวๆ 5.4 ล้านบาท คิดเป็นผลตอบแทนทบต้นราวๆ 8% ต่อปี

พอร์ท B มูลค่า ณ ปัจจุบัน ราวๆ 10 ล้านบาท คิดเป็นผลตอบแทนทบต้นราวๆ 21.2% ต่อปี

แม้ว่าหุ้นที่ซื้อจะเป็นหุ้นตัวเดียวกันเป๊ะๆ ไม่มีอะไรแตกต่าง แต่ด้วยการลงทุนที่สม่ำเสมอกว่าของพอร์ท B ทำให้ได้เก็บหุ้นเพิ่มในช่วงราคาถูกๆ ได้บ่อยครั้ง ส่งผลทำให้พอร์ทใหญ่ขึ้นในอัตราเร่ง

ใครนึกภาพไม่ออก ให้คิดตามดังนี้

เงิน 1 ล้านบาท ซื้อหุ้น Z ที่ราคา 50 บาท ได้ 20,000 หุ้น

วันดีคืนดี ตลาดหุ้นตกหนัก หุ้น Z ราคาตกไปเหลือ 25 บาท

ถ้าเรามีเงินมาเติมอีก 1 ล้านบาท แทนที่เราจะได้หุ้นเพิ่มอีก 20,000 หุ้น กลับกลายเป็นเราได้หุ้นเพิ่มมากถึง 40,000 หุ้น (กลายเป็นมีหุ้นมากถึง 60,000 หุ้น) ส่งผลให้เมื่อหุ้น Z ราคากลับมาที่ 50 บาท เราจะได้ทั้งกำไรส่วนต่างราคา และปริมาณหุ้นที่มากขึ้นมากในพอร์ท

เกร็ดการลงทุนไม่มีอะไรมาก ขอแค่เชื่อมั่นในการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ และทะยอยสะสมหุ้นดีๆ ทั้งในช่วงราคาปกติ และในช่วงราคาถูก

มีเพื่อนหลายคน ที่เวลาเห็นหุ้นลงหนักๆ ทำใจซื้อเพิ่มไม่ได้ พาลคิดว่าหุ้นไม่ดี บริษัทห่วย ไม่นำเงินมาซื้อสะสมเพิ่ม ทั้งที่เป็นโอกาสที่ดี (เอาเงินไปซื้อหุ้นตัวอื่น เป็นเบี้ยหัวแตกแทน)

มีคนเคยพูดไว้ดีมากว่า ก่อนจะซื้อหุ้น ถามตัวเองว่าซื้อเพราะอะไร และเมื่อคิดจะขาย (หรือไม่ซื้อเพิ่ม) ให้ถามตัวเองว่าเพราะอะไร

ถ้าทุกอย่างยังคงเดิม ก็ไม่มีเหตุผลอะไร ที่เราจะไม่สะสมหุ้นเพิ่ม เพราะเราตัดสินใจมาดีแล้วตั้งแต่แรก

การลงทุนให้ประสบความสำเร็จ อาศัยความสม่ำเสมอเป็นตัวตั้ง ส่วนระยะเวลาจะเป็นตัวพิสูจน์

มีความสุขกับการลงทุนครับ

Runner. Investor. Father.