ประสบการณ์การลงทุน

เมื่อหลายปีก่อน เคยแอนตี้ตลาดหุ้นมาก เพราะที่บ้านเคยเสียหายกับหุ้นค่อนข้างเยอะพอสมควร คิดแต่ว่าตลาดหุ้น ก็คือบ่อนการพนันดีๆ นี่เอง

แต่พอได้อ่านหนังสือ ตีแตก ของ ดร.นิเวศน์ ก็ได้คิดตามว่า จริงๆ แล้ว ตลาดหุ้นไม่ใช่บ่อนการพนัน แต่เป็นแหล่งการลงทุน ที่มีกิจการ ทั้งดี และไม่ดี ให้เราได้ลงทุน เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของกิจการนั้นๆ

จำได้ว่าเริ่มลงทุนครั้งแรกด้วยเงินประมาณ 200,000 บาท (จากซองงานแต่ง) ช่วงนั้นซื้อแต่หุ้นมีชื่อเสียง ส่วนใหญ่เป็นหุ้นพื้นฐานดี แต่ด้วยความที่ราคามันไม่ค่อยวิ่ง พอมองกระดานทีไร หุ้นตัวอื่นๆ วิ่งเยอะกว่าทุกที สุดท้ายเลยเขว ขายหุ้นดีๆ ทิ้งเกือบหมด ไปซื้อหุ้น IPO บ้าง หุ้นมีข่าวบ้าง หุ้นผีบอกบ้าง

ช่วงนั้นตลาดหุ้นค่อนข้างดี จับตัวไหนก็ได้เงิน เลยเอาเงินรายได้ ในแต่ละเดือน มาซื้อหุ้นเพิ่ม พร้อมกับเอาเงินเดือนในส่วนของภรรยามาด้วย

ช่วงนั้นเติมเงินเข้าพอร์ตเดือนละ 30,000-40,000 บาท หุ้นก็ขึ้นตลอดทาง ทำให้พอร์ตเริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แต่แล้วประเทศก็เกิดวิกฤต ตลาดตกหนักมาก หุ้นที่ถือเอาไว้ ตกหมดทุกตัว บางตัวตก 10% บางตัวตก 20-30%

ตอนนั้น ด้วยไม่มีประสบการณ์ ก็เลือกขายหุ้นที่ตกน้อยๆ ไปซื้อถัวตัวที่ตกหนักกว่า ขายไปเรื่อยๆ จนหมดพอร์ต เหลือหุ้นอยู่ตัวเดียวในพอร์ต คือตัวที่ตกหนักสุด แล้วมันก็ยังตกต่อไปอีก จนเงินต้นจาก 600,000 กว่าบาท เหลือแค่ 200,000 กว่าบาท

ตอนนั้นนั่งดูจอหุ้น เหงื่อก็ออกตลอดเวลา ไม่รู้จะทำยังไง ไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน เงินเก็บหายไปมากกว่าครึ่ง ทำอะไรไม่ถูกเลย

ช่วงนั้นก็เรียกว่าสติแตก แต่ก็ยังดีที่ธุรกิจที่ทำอยู่ ยอดขายค่อยๆ โตขึ้นเรื่อยๆ บวกกับมีเงินเหลือเก็บออม จากภรรยา มาช่วยอีกทาง ส่วนภาระผ่อนบ้าน+รถ ก็ไม่มี เพราะอาศัยกับที่บ้าน แล้วก็ใช้รถเก่ามาตลอด

สุดท้ายตัดสินใจขายหุ้นตัวนั้นทิ้ง แล้วเริ่มต้นใหม่ด้วยเงิน 200,000 กว่าบาท เก็บหุ้นพื้นฐานดี ในช่วงที่ยังเกิดวิกฤตอยู่ จำได้ว่าตอนนั้น มีซื้อหุ้น STANLY กับหุ้น AMATA ไว้ อย่างละประมาณแสนกว่าบาท แล้วก็ซื้อเพิ่มเรื่อยๆ ด้วยเงินออมในแต่ละเดือน

พอวิกฤตผ่านพ้นไป หุ้น STANLY ขึ้นไปเกือบ 200% ส่วนหุ้น AMATA ขึ้นไปเกือบ 300% ทำให้เงินเก็บเพิ่มขึ้นแตะ 1 ล้านบาทเป็นครั้งแรก

ช่วงที่เกิดวิกฤต ได้อ่านหนังสือดีๆ เกี่ยวกับการลงทุนหลายเล่ม เช่น กลยุทธ์หุ้นห่านทองคำ, One Up on Wall Street, Beating the Street, The Intelligent Investor, แล้วก็หนังสือเกี่ยวกับ Warren Buffett

เริ่มดูงบการเงินเป็น เริ่มให้ความสำคัญกับการเติบโตของกิจการ และการตีมูลค่าของกิจการ มากกว่าราคาบนกระดาน

ช่วงนั้นเจอหุ้นตัวนึง ค่อนข้างต่ำกว่ามูลค่า คือหุ้น JAS ตอนที่อ่านงบการเงิน กับหมายเหตุประกอบงบ ก็คิดว่าตัวนี้ตีแตกแน่ๆ มั่นใจมาก เลยซื้อไปประมาณ 1,200,000 หุ้น เยอะที่สุดตั้งแต่เคยลงทุนหุ้นตัวใดตัวหนึ่งมา

ผ่านไป 2 ปี ที่บ้านเกิดปัญหาการเงิน ทำให้ต้องขายหุ้นทิ้ง เพื่อนำเงินไปช่วยที่บ้าน เลยจำใจขายหุ้นทั้งหมดในพอร์ต ขายไปประมาณ 1 ล้านบาท เหลือ JAS ติดพอร์ตประมาณ 80,000 บาท

คิดว่าโชคคงไม่เข้าข้าง เพราะหลังจากขายหุ้นไปหมดพอร์ต JAS ก็วิ่งรวดเดียว 400% ตอนนั้นรู้สึกเสียดายมาก

ที่มีติดพอร์ตอยู่ 80,000 บาท กลายเป็น 320,000 บาท ก็ถือว่ายังดีที่เหลือไว้นิดหน่อย

แล้วก็เริ่มออมเพิ่มจาก 320,000 บาท เงินรายได้จากกิจการ ในแต่ละเดือน ก็พยายามไม่ใช้ เอามาเติมตลอด ช่วงนั้นแอนเปลี่ยนงานด้วย ได้เงินเดือนเพิ่มขึ้น ก็ช่วยทำให้เก็บออมได้มากขึ้นอีกทาง เก็บจนมีเงินหลายแสนบาท ออมไว้ในหุ้นทั้ง 100%

แต่แล้ววิกฤตรอบสอง ก็มาเยือน ตอนนั้นเงินเก็บหายไปไม่เท่ารอบแรก แต่ก็หายไปเยอะพอสมควร

เลยเริ่มท้อว่า ที่เราออมๆ อยู่นี่ มันเพิ่มขึ้นทีละช้าๆ แต่พอเวลาเกิดวิกฤต มันลดลงแบบน่ากลัวมาก เงินหายวับไปกับตาภายในไม่กี่วัน

ช่วงนั้นก็ได้อ่านกระทู้ดีๆ หลายอัน ในเว็บ ThaiVI ทำให้พอมีกำลังใจขึ้นมาหน่อย ก็เริ่มออมใหม่อีกรอบ รอบนี้ไม่ลงเงินทั้ง 100% แต่แบ่งเงินสดไว้ก้อนนึง เผื่อว่าจะเกิดวิกฤตอีก

แล้วก็ได้ผล วิกฤตมาอีกรอบ แต่ไม่นานมาก เลยได้ซื้อของถูก ได้กำไรพอสมควร

พอวิกฤตผ่านไป ก็มีเงินเก็บเพิ่มขึ้น จนแตะ 1 ล้านบาทอีกครั้ง

ช่วงนั้น ด้วยความที่ลงทุนรอบคอบขึ้น และคุมค่าใช้จ่าย เก็บเงินทุกบาททุกสตางค์ มาลงทุนเกือบหมด เลยทำให้พอร์ตโตขึ้นเร็ว

ปัจจุบัน มีเงินเก็บถึงเป้าหมายเงินออม สำหรับตอนอายุ 40 แล้ว แต่ก็ยังไม่ถึงเป้าหมายเงินออมระยะยาว

ตั้งเป้าเอาไว้ว่าเงินออมส่วนนี้ จะต้องสร้างดอกผล เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายภายในบ้าน + ค่าเทอมลูกๆ

คิดไว้ว่าถ้ามีเงินเก็บซัก 12-15 ล้าน ก็น่าจะพอสำหรับการใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย

ปล. แอนออกจากงานมาได้ซักระยะแล้ว ส่วนกิจการที่ทำอยู่ ก็ยอดขายตกลงเรื่อยๆ คงต้องเริ่มมองหาอะไรทำเพิ่มขึ้น เพื่อให้สามารถมีเงินออมสำหรับลงทุนเพิ่ม