ตรวจสอบการลงทุนย้อนหลัง

วันก่อนเอาหนังสือตีแตกของ ดร.นิเวศน์ มาอ่านอีกรอบ เห็น ดร.ทำกราฟการลงทุน เปรียบเทียบกับดัชนีตลาดเอาไว้

ดูเข้าท่าดี น่าจะทำมั่ง เลยลองหาข้อมูลการลงทุนของเราเอง ตั้งแต่เริ่มลงทุน

จากกราฟด้านบน มีการปรับค่าให้เริ่มต้นที่ Index 100 เท่าๆ กัน

มูลค่าพอร์ทในช่วงปีแรกๆ เป็นไปตามดัชนี SET ส่วนหนึ่งเพราะแบ่งเงินลงทุน ลงในหุ้นหลายๆ ตัว ในเกือบทุก Sectors ถือว่าเป็นการกระจายความเสี่ยงไปในตัว ผลตอบแทนเลยใกล้เคียงผลตอบแทนตลาด

พอปี 2008 ตลาดตกหนักมาก จะเรียกว่าเป็นวิกฤตครั้งใหญ่เลยก็ว่าได้ เพราะมูลค่าพอร์ทลดลงเหลือไม่ถึงครึ่ง เรียกว่าตกหนักมากที่สุดครั้งหนึ่งในรอบหลายสิบปี

ตอนนั้นไม่ว่าหุ้นดีแค่ไหน ก็ตกหมด แต่เปอร์เซ็นต์การตกลง ไม่เท่ากัน บางตัวตกลงไปมากกว่า 70% แต่บางตัวก็ตกลงไปแค่ไม่ถึง 25%

ตอนนั้นเริ่มเข้าใจการลงทุนมากขึ้น ว่าการลงทุน ไม่ว่าจะรอบคอบแค่ไหน ก็ถือว่ายังมีความเสี่ยง ที่เราประเมินได้ยากอยู่

หลังจากเรียนรู้บทเรียนครั้งนั้น ก็มีการปรับพอร์ทการลงุทน โดยไม่กระจายการลงทุนไปในหลายๆ อุตสาหกรรม แต่จะเน้นลงทุนเฉพาะในกิจการที่เราเข้าใจ และมีการเติบโตที่ดี

ในช่วงนั้น ได้ขายหุ้นที่มีอยูออกไปทั้งหมด และเลือกเก็บเฉพาะหุ้นพื้นฐานดี ราคาไม่แพง ส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากวิกฤต แต่เป็นผลกระทบระยะสั้น ที่ไม่ทำให้พื้นฐานบริษัทเปลี่ยนไปมากนัก

หลังจากช่วงวิกฤตผ่านไปไม่ถึง 3-6 เดือน หุ้นพื้นฐานดีๆ พวกนี้ ก็กลับขึ้นมาที่จุดเดิมได้อีกครั้ง หรือบางบริษัท อาจจะทำได้ดีกว่าเดิมด้วยซ้ำไป เพราะส่วนหนึ่งสามารถกินส่วนแบ่งตลาดของคู่แข่ง ที่ไม่สามารถฝ่าวิกฤตรอบนั้นๆ ได้ และกลายเป็นผู้แพ้ไป

ตัวอย่างหุ้นที่ให้ผลตอบแทนกับพอร์ทดีที่สุดในช่วงวิกฤต

STANLY ทำผลตอบแทนให้มากกว่า 240%
AMATA ทำผลตอบแทนให้มากกว่า 300%
MINT ทำผลตอบแทนให้มากกว่า 80%
JAS ทำผลตอบแทนให้มากกว่า 400%

เรียกได้ว่าจากที่ขาดทุนมากกว่าครึ่งหนึ่งของพอร์ท ก็สามารถฟื้นคืนชีพพอร์ทลงทุนได้อย่างไม่น่าเชื่อ

ถ้าตอนนั้นไม่เรียนรู้ความผิดพลาดในการลงทุน แล้วยังดื้อ ไม่ขายหุ้นที่เรายังไม่เข้าใจดีพออยู่ อาจจะเสียหายมากกว่าเดิมอีกพอสมควร

หลังจากนั้นก็ลงทุน โดยเน้นหุ้นน้อยตัว และเลือกเฉพาะบริษัทที่เราติดตามได้ เข้าใจได้ ผลตอบแทนก็ค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ และเอาชนะดัชนีได้มากพอสมควร

แนวทางการลงทุน :: เลือกลงทุนในกิจการที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และเป็นกิจการที่เราเข้าใจ สามารถตรวจสอบ/ติดตามได้ โดยผู้บริหารจะต้องมีธรรมภิบาล ไม่มีประวัติเอาเปรียบผู้ถือหุ้น