ข้อคิดการลงทุน – ลุงขวด

Credit: บทความนี้ คัดลอกมาจาก ThaiVI.org โดยผู้ถาม คือ คุณ Nevercry.boy ครับ

เรียน ลุงขวด ที่เคารพ

ผมเองได้อ่าน comment ของลุงขวดในหลาย topic และตามอ่านอยู่ตลอดเป็นระยะเวลาหนึ่ง

ส่วนตัวผมชอบแนวทางของลุงขวดทีเดียว เพียงแต่ไม่มีโอกาสจะสื่อสารและถามวิธีคิดของลุงขวดอย่างจริงจัง

ผมขอเริ่มจากคำถามดังนี้ครับ

ผมเห็นลุงขวดชอบลงท้าย เหมือนเป็นคติการลงทุนว่า

หุ้น จะขึ้นหรือลง อยู่ที่ผลประกอบการ ซึ่งประกอบด้วย ความสามารถของผู้บริหารกับ ธรรมาภิบาล………

ใหญ่ในเล็กย่อม ดีกว่า  เล็กในใหญ่…..ที่สำคัญที่สุดคือซื้อในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะ เป็น…

50(O_O)….51 (O_o)…52(o_o)…53(o_o)

ผมขอความกรุณาลุงขวดช่วยขยายความได้หรือไม่ครับ หากไม่เป็นการรบกวนจนเกินไป ดังนี้ครับ

1. หุ้นจะขึ้นหรือลง อยู่ที่ผลประกอบการ ซึ่งประกอบด้วย ความสามารถของผู้บริหารกับ ธรรมาภิบาล -> ลุงขวดมีวิธีดูอย่างไรครับว่าผู้บริหารท่านใดมีความสามารถและธรรมาภิบาล (?)

2. ใหญ่ในเล็กย่อม ดีกว่า  เล็กในใหญ่ หมายถึงอย่างไรครับ ประโยคนี้มีความลึกซึ้งที่ซ่อนอยู่อย่างไร ใช่ความหมายเดียวกับ Less is More ของบัฟเฟตต์ หรือไม่ครับ

3 ที่สำคัญที่สุดคือซื้อในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะ เป็น ลุงขวดตีความอย่างไรกับคำว่ามูลค่าที่ควรจะเป็นครับ สำหรับ SVI ผมว่าลุงขวดตีแตกกระจุยเลยนะครับ หากไม่รบกวนจนเกินไปยก SVI เป็น case ก็ได้ครับ

4. สุดท้ายครับ ผมรบกวนถามครับ

50(O_O)….51 (O_o)…52(o_o)…53(o_o)

มันมีความหมายอย่างไรครับ

ขอแสดงความนับถือครับ

Nevercry.boy

ความเห็นจากลุงขวดครับ

1.แสดงว่ายอมรับกันแล้วนะครับว่า หุ้นจะขึ้นหรือลง อยู่ที่ผลประกอบการ การดูผู้บริหารก็ต้องไปรู้จักเขาโอกาสที่ได้รู้จักมี 2 ทางเท่านั้น คือ

  1. ไปในวันประชุมสามัญหรือวิสามัญถ้ามี หลังจากนั้นก็ค่อย ๆ ไปยืนคุยกับเขา อย่าง NKI ผมถือปีแรกก็ไปเพียงแต่ฟังเขาเท่านั้น ปีที่สองเริ่มหาคำถามมาถามในที่ประชุม ปีที่สามก็ถามหนักเข้าและตีสนิทกับท่านผู้บริหาร ผมรู้จักท่าน สุจินต์ หวั่งหลี อยากรวดเร็วเพราะไปประชุม THRE ท่านเป็นประธานอยู่ แถมยังเป็นกรรมการ ที่ TMD ผมเลยเจอท่านทุกปี เวลาเจอก็เข้าหาโอกาสทักทายแสดงความเคารพท่าน เสียดายนะหุ้น NKI ไม่มีธนาคารหนุนหลัง ไม่อยากงั้นคงไปได้ดีกว่านี้ ผมยังถือหุ้นท่านอยู่ จนตอนนี้กว่า 10 ปีแล้วมั้ง ส่วนจะดูว่าผู้บริหารมาทำงานเพื่อตนเองและครอบครัว หรือ มาทำงานเพื่อผู้ถือหุ้นประวัติในอดีต เป็นตัววัดครับ หรือการพูดคุย ขอความเห็นต่าง ๆ ทุกอย่างให้ความรู้สึก และตัดสินใจได้ว่า ท่านเป็นคนอย่างไร ส่วนผู้บริหารที่ไม่ได้อยู่ในดวงใจก็เป็นผู้ที่พูดแต่ด้านดีอย่างเดียว ด้านเสียไม่พูดออกมา ด้านผิดพลาดไม่ยอมบอก
  2. ก็คือไปฟัง opp days และตามดูรายการเกี่ยวกับหุ้นมาก ๆ ดูความคิดของเขาว่าจะเป็นจริงตามที่พูดหรือไม่ opp days มีโอกาสคุยนอกรอบกับผู้บริหารได้ครับ

2.ใหญ่ในเล็กย่อมดีกว่าเล็กในใหญ่ – ผมลงทุนมาประมาณ 18 ปี ผมดูตลาดทุนของเราเล็กมาก ขึ้นอยู่กับเงินต่างชาติที่เข้ามา คนที่บังคับตลาดทุนได้ผมว่า เป็นเงินต่างชาติครับ รองมาเป็นสถาบัน และ ท้ายสุดก็เป็นรายย่อยแบบพวกเรา ผมเลยไม่ยอมลงทุนในหุ้นใหญ่ ๆ (มีบ้างก็แค่ระดับร้อยหรือพันหุ้นเท่านั้น เพื่ออ่านรายงานการประชุมและคิดไปกับเขา) ผมเลยชอบหุ้นเล็กมากกว่าหุ้นใหญ่ หุ้นเล็กหมายถึงหุ้นที่มี market cap ระดับไม่เกิน 3000 ล้าน และ หุ้นที่ผมลงทุนตอนนี้ อยู่ใน MAI ประมาณ 25% ผมมีเกือบทุกตัวในหุ้น MAI ใครไปศึกษาจะเห็นว่า หุ้น MAI ให้ปันผลมากกว่า หุ้นใน SET เสียอีก ผมได้ปันผลแถว 6% ต่อปี ในขณะที่หุ้นใหญ่ ๆ ให้ปันผลแถว 3% หุ้นเล็ก ๆ ผมว่าฝรั่งชอบนะแต่เขามาลงทุนไม่ได้เพราะอำนาจการซื้อของเขามีมาก ซื้อครั้งสองครั้งก็เป็นเจ้าของหุ้นได้ และถ้าซื้อมาก ๆ จะไปขายให้ใครได้ หุ้นเล็กเวลาซื้อมาก ๆ ตอนขายนี้ลำบาก ผมถือยาวเลยไม่กังวลเท่าไหร่

3.ต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น ผมดูง่าย ๆ พวกต่ำกว่า book value นี่แหละผมชอบ และ ถ้ามีทรัพย์สินที่เก็บไว้ ไม่ได้มาปรับราคาก็ยิ่งชอบใหญ่ ผมเลยมีพวก สิ่งทอ แทบทุกบริษัทฯ มีบริษัทหนึ่ง มีที่ดินที่ดีและจำนวนมากชานเมือง ราคาที่ดินนับว่าสูงมากทีเดียว ราคาหุ้นซื้อกันต่ำมากกว่าครึ่งของมูลค่าที่เป็นจริง ถ้าเขาขายในตลาดให้เราในราคาตลาด และเปลี่ยนเจ้าของเป็นเราขึ้นมา พวกเราก็จะร่ำรวยทันที โดยการขายเครื่องจักรออกไป เอาที่ดินมาขายก็กำไรโขแล้วครับ พวกนี้ผมซื้อและรอเวลาเท่านั้นเอง รอเขาออกจากตลาดนั่นแหละ คงให้ราคาอย่างยุติธรรม พวกนี้ลงทุนแบบ asset play ลงกับทรัพย์สินที่มีอยู่ ลงทุนพวกนี้ไม่สนุกครับ แต่ปลอดภัย ถ้าเลือกบริษัทที่มีปันผลเท่ากัน ทุกปี ของญี่ปุ่น ก็รับปันผลไปเรื่อย ๆ ราคาไม่เปลี่ยนแปลง แต่ปลอดภัย ส่วนการหามูลค่าโดย p/e ก็ช่วยได้บ้าง ชอบ p/e ต่ำ ๆ ส่วนหามูลค่าแบบ DCF (Discount Cash Flow) ผมยังทำไม่เป็นครับ เกินกว่าความรู้ที่ผมมีอยู่

4.เครื่องหมาย 50..(O_O) หมายถึงปีแห่งความโลภ ตามันโต โลภมากจะเป็นภัยครับ 51..(O_o) แสดงถึงภัยน้อยลงแล้วครับ ปี 52 และ 53…(o_o) ตาปกติ ลงทุนได้ไปเรื่อย ๆ ปีหน้าอาจเปลี่ยนเป็น 54…(O_o) ก็เป็นได้ ภัยเริ่มใกล้ตัวอะไรทำนองนี้ เขียนไปสนุก ๆ คิดว่าการลงทุนมีวงจรของมัน เหมือนเศรษฐกิจที่มีวงจร รอบละ สัก 10 ปีนั่นแหละมีขึ้นมีลงครับ

ขอบคุณที่ถามมา ผมไม่อยากออกความเห็นมากเท่าไหร่ หลัง ๆ นี้ชอบเก็บตัวมากกว่าครับ